FMTV โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ
560315_รายการเรียนอิสระ (ตามสำนึก) | โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท..
เรื่อง. หมดสุขหมดทุกข์คือหมดบุญ (ใครจริงกันแน่)

ส.ฟ้าไทเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งจัดที่บ้านราชฯ......

วันนี้ก็พ่อครูก็ยังอยู่ที่ราชธานีอโศก เรื่องของสังขาร ที่ผ่านมา พ่อครูก็ได้อธิบาย ให้พวกเราเข้าใจเพิ่มขึ้น และบุญคือการชำระกิเลส ให้หมดจด หรือการชำระจิตสันดาน ให้หมดจน ถึงจะได้บุญ หากไม่ชำระจิตสันดาน ไม่มีทางได้บุญ และเรื่องของกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร ก็ทำให้เราเข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อเราเข้าใจชัด ด้วยปัญญา ก็แม่นประเด็น ในการตัดกิเลส ถ้าเราอยากเป็นคน มีบุญบารมี ก็ต้องพยายาม ชำระกิเลส ให้มากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมามีคุณ 8705 ส่ง sms มา นับว่าเป็นผู้ที่ตั้งใจฟัง คอยจับประเด็น แล้วส่งมาค้านแย้ง ถ้าเราตั้งใจฟังอย่างคุณ 8705 ก็จะดีมากยิ่งขึ้น

พ่อครู เมื่อวานนี้ตอบไป คุณ 8705 ก็ส่ง sms มาสองหน้า เขาขยันดี  และที่พ่อครูตอบนั้น ไม่ได้ถกเถียงโต้แย้ง แต่เห็นว่าเป็น การปรับปวาทะ คือเมื่อเห็นว่า มีคนพูด กล่าวออกนอกคำสอน พระพุทธเจ้า หรือกล่าวคำสอนพระพุทธเจ้า เข้าใจอย่างอื่น เราก็ต้องทำให้เขา เข้าใจถูกต้อง จะเรียกว่า ปรับ กับคำว่า วาทะ ก็ได้ คือปรับคำพูดนั้นเอง (คำบาลีว่า ปรัปปวาทะ) ก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เมื่อมารมาอาราธนา ให้ท่านปรินิพพานว่า

[๙๕] ครั้งนั้น มารผู้มีบาป เมื่อท่านพระอานนท์ หลีกไปแล้วไม่นาน เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค จงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด ขอพระสุคต จงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด

บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาค ก็พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรม มีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรัปวาท ที่บังเกิดขึ้น ให้เรียบร้อย โดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ ภิกษุผู้เป็นสาวก ของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว ได้รับแนะนำแล้ว แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนกกระทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรัปวาทที่บังเกิดขึ้น ให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ฯ

พ่อครูก็ทำหน้าที่ปรับปวาทะ ให้แจ้งให้เข้าใจได้โดยสหธรรม เป็นการเปิดเผยธรรม พระพุทธเจ้า พยายามทำให้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ แต่ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น ไม่ง่าย เพราะลึกซึ้ง แต่พ่อครูก็ต้องแสดงธรรม อันเป็นปาฏิหาริย์ ที่สามารถทำได้ ในหมู่ชาวอโศก วันนี้ก็มีสาวก คือผู้ฟังของพ่อครูนี่ ตอบคุณ 8705 มา กรณีที่ว่า "ถ้าพธร. สอนถูก แล้วมีสาวกคนไหนบอกได้ว่า บรรลุธรรมขั้นไหนแล้ว"

พ่อครูว่า....และที่อาตมาสาธยายธรรมอยู่ในขณะนี้ โดยเอา sms ของคุณ ๘๗๐๕ มาเป็นประเด็น ในการสาธยายนี้ ก็ไม่ใช่เป็นการถกเถียงกับคุณ ไม่ใช่เป็นการโต้แย้งกับคุณ แต่เป็นการแสดงธรรม มีปาฏิหาริย์ข่มขี่ "ปรัปปวาท" ที่บังเกิดขึ้น ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม

หมายความว่า เมื่อมีผู้ทำคำสอน ให้คลาดเคลื่อน หรือวิปริตผิดเพี้ยน ไปเป็นอย่างอื่น (ปรัปปวาท) ก็จำเป็นที่อาตมาจะต้อง แสดงธรรมให้มีปาฏิหาริย์ข่มขี่ "หลักการที่เป็นอย่างอื่น ไปจากของพระพุทธเจ้า" (ปรัปปวาท) ให้กลับสู่ความเป็น ของพระพุทธเจ้า "อย่างเดิม"ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม

โดยสหธรรมก็คือ "กับธรรมะ" นี่แหละ หรือมีธรรมะนี่แหละ "พร้อม" หรือ "ธรรมะนี่แหละร่วมกัน" ซึ่งทั้งรูปธรรม และนามธรรมทั้งหลาย ที่อาตมาสามารถ ทำให้เกิดขึ้นมา ก็ยืนยันพร้อม รวมกันร่วมกัน ทั้งผู้คนที่แสดงตัวเป็นมวล รวมกันร่วมกัน ทั้งแสดงความเป็นพฤติพุทธ รวมกันร่วมกัน ทั้งการดำเนินไป พร้อมกับธรรมะ ที่สามารถพิสูจน์ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จริง ตรวจสอบจาก หลักธรรมต่างๆได้ 

ว่า ไม่ใช่เพื่อโลกธรรม หรือไม่ใช่เพื่อให้ใคร มาเป็นบริวาร สนับสนุน แต่เป็นการเกิดมวล ตามสหธรรมเอง จะเป็นการหนุนไปในทางใด คือ หนุนกันไป ในทางผิด หรือหนุนกันไปในทางถูก ก็เป็นไปตามสัจธรรม ที่เป็นจริงของสัจธรรมแท้ๆ ใครเป็นสัจธรรม ก็ฝ่ายนั้นแหละ อาตมาอาจจะเป็นผู้ผิด ตามที่คุณ ๘๗๐๕ ว่าก็ได้ เพราะไม่มีใคร สามารถตัดสินสัจธรรมได้หรอก สัจธรรมเท่านั้น ที่ตัดสินความเป็นสัจธรรมเอง ก็พิสูจน์กันไป

ซึ่งตามที่คุณ 8705 ได้ sms มาว่า...... 0888705xxx ถ้าโพธิรักษ์สอนถูกจริงแล้ว.. ขอให้สาวกออกมายืนยันด้วยว่า บรรลุชั้นไหนแล้ว!

คุณใจแปลง สู่แดนธรรม... ผมขอตอบคุณ 8705 ที่ถามพ่อครู ว่า "ถ้าโพธิรักษ์สอนถูกจริงแล้ว.. ขอให้สาวกออกมายืนยันด้วยว่า บรรลุชั้นไหนแล้ว!"

ผมตอบก็ได้ครับว่า ผมนายใจแปลง ไม่ต้องอ้างคำบาลีว่าบรรลุ (อุปัชชติ) เข้าสู่ชั้นไหนแล้วหรอก แต่ผมก้าวข้าม (สมติกฺกมะ) ล่วงพ้น ฝ่าออกมาจาก โลกอบายได้แล้ว อย่างมีกายสักขี เป็นพยานยืนยันด้วยกายว่า ผมไม่ไปมอบตน ในทางผิดอีกแล้ว คือ ไม่ต้องไปอยู่กับบริษัท ที่เอารัดเอาเปรียบ เอากำไร มาบำเรอตนอีกแล้ว (ผมหมายถึง โลกที่ยังแก่งแย่งชิงลาภ แย่งรายได้ แสวงหากำไรกัน อย่างเอารัดเอาเปรียบ นั่นแหละ คือ โลกอบาย อันเป็นนรก ที่ควรหลุดพ้นออกมา จากโลกนั้นให้ได้)

ผมและเพื่อนๆ อีกนับร้อย ได้ก้าวข้ามมิจฉาอาชีวะขั้นที่ ๕ ได้ครึ่งหนึ่งแล้ว คือ ทำงาน ไม่เอาลาภแลกลาภ คือไม่เอาค่าตอบแทน เท่ากับเสียภาษี 100% ก็คือทำงานฟรี แล้วก็ได้พึ่ง สิ่งที่เป็นผลของธรรมะ เช่นนี้แหละ ให้กับชีวิต มาหลายสิบปีแล้ว (ที่ว่าได้ครึ่งเดียวนั้น ก็คือ ผมยังไม่ได้บวช ออกบิณฑบาตร เลี้ยงชีพตน ถ้าบิณฑบาตร เลี้ยงชีพตน ด้วยลำแข้งแล้ว จึงจะถือว่า พ้นมิจฉาอาชีวะ ได้ 100%)

แล้วคุณ 8705 ล่ะ สำรวจตัวเองดูบ้างหรือยังว่า คุณได้อนัตตา ที่ปราศจากตัวตน อันว่างจาก “สิ่งที่ยังข้องด้วยการแย่งชิง ลาภยศสรรเสริญ” ได้บ้างหรือยัง ?

ถ้าคำสอนของคุณถูกต้องจริง สาวกลูกศิษย์ของคุณ ก็ย่อมจะมีอำนาจจิต อยู่เหนือโลก เหล่านั้น มาเป็นผู้สันโดษ อันเป็นอาริยะ รวมหมู่รวมกลุ่มกันได้ ย่อมพึ่งธรรมะ เป็นสรณะได้บ้าง ไหนล่ะ สิ่งที่คุณจะมีบุคคลเหล่านี้ เป็นผลยืนยัน การพึ่งพาความมักน้อย สันโดษได้บ้าง ?

หรือว่า คุณยังมีเงินฝากธนาคาร กินดอกเบี้ยอยู่ โดยทำใจว่า มันเป็นอนัตตา ไม่ได้ยึดมั่น ถือมั่นอะไร เพราะไม่ได้ไปทำอะไรมัน แต่ดอกเบี้ย มันก็งอกของมันเอง ? คุณปฏิบัติโดยความเป็นอนัตตา กันแบบนี้ใช่ไหม ?

Chumpon Sriruamsap ด้วยใจเป็นธรรม และเคารพเพื่อนมนุษย์ กระผม สาวกสมณะโพธิรักษ์ ก็ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้บรรลุอะไรมากมาย เป็นแต่เห็น เส้นทางสัมมา พาตนพ้นโลกอบาย ๖ ไกลแล้วจาก มิจฉาอาชีวะ ๕ เว้นขาดมิจฉาวณิชชา ๕ เข้าสู่เส้นทางศีล ๕ เป็นปฐม เบื้องต้นมีใจยินดี ในการกินเรียบง่าย ไม่เอาชีวิตอื่น มาบริโภค นอนเรียบง่าย ไม่จำต้องอาศัยที่นอน สอนถูกหรือไม่? คุณ ๘๗๐๕ พิจารณาเอาเองว่า ทางธรรม ที่คุณเชื่อว่าถูก กับ การปฏิบัติ เยี่ยงคุณอาสู่แดนธรรม กระผม และญาติธรรมท่านอื่นๆ เปรียบเทียบแล้วเป็นอย่างไร? นอกเขตพุทธหรือไม่? แลฯ เจริญธรรม

พ่อครูว่า ก็สนุกดีนะ การโต้ธรรมะ เป็นการได้ประโยชน์ตกทอด จากสมัยพระพุทธเจ้า มาถึงปัจจุบัน เมืองไทยเรามี แต่ไม่ดุเดือดเท่าธิเบต ไม่ใช่การเอาชนะคะคาน แต่เป็นการวิเคราะห์วิจัย เพื่อให้เกิดความเข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น

ต่อไปก็เป็นการตอบคุณ 8705 ที่ส่งมาเมื่อวานนี้

0838677xxx ใช้ตรรกแบบโพธิรักษ์ ถ้าคนเลื่อมใสธรรมกายมาก แสดงว่าโพธิรักษ์ผิด

พ่อครูตอบว่า....สนชัย เวลัทบุตร ได้ตอบพระสารีบุตรว่า คนฉลาดมีน้อย คนโง่มีมาก แล้วบอกว่า สารีบุตรไปเถอะ ท่านไปอยู่กับ พระสมณะโคดม เพราะคนโง่มีมาก เราจะอยู่กับคนโง่ที่มีมาก ...ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่ จะมีคนมานับถือมาก แต่เป็นศาสนาแห่งปัญญา คนจะมารู้ได้ยาก แสดงว่าคุณ8705 เอาจำนวนคน มาวัดค่านั้น แสดงว่า ยังไม่เข้าใจศาสนาพุทธ ยังห่างไกลอีกมาก

พ่อครูพาอโศกออกมาจากมหาเถรสมาคม ก็ยืนยันได้ว่า ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศ สรรเสริญ หรือให้คนมานับถือมากๆ หรือไปล้มล้างลัทธิใด อย่างที่หมู่ธรรมกายมีมากๆ คนเลื่อมใสมาก พ่อครูไม่แข่งหรอก และไม่ได้แข่งใคร พระพุทธเจ้าไม่สอน ให้เราไปเอาชนะ คะคานใคร แต่ให้แสดงธรรม เปิดเผยธรรม ใครเข้าใจเข้าถึง ก็จะมาเอาได้เอง คำพูดนี้ของคุณ 8705 แสดงถึงความคิด แบบโลกๆ

0868845xxx ม่ายยเข้าจายย! ทำมัยไม่แย้งจานบิน ตีตั๋วบินดุสิตบุรีใสๆปิ๊ง/ปฝ

0857308xxx ถ้าต้องการรู้ว่าผิดหรือไม่ ลองศึกษาแบบไม่มีอคติ อย่างจริงจัง จะได้คำตอบด้วยเอง

0831819xxx มีพระราชาจึงมีมารผจญฯ มีสังฆราชจึงมีนะจ๊ะ ตอนนี้มีแกสสูญขันธ์ห้า ผจญพ่อครู ขบวนล้มชศก เกิดด้วยนชสามฯ

0888705xxx แต่ดั้งเดิมมาของมนุษย์ทุกเชื้อชาติ.. ย่อมมีทั้งคนดีและคนชั่ว คนดีหมายถึง คนที่ทำความชั่วได้ยาก แต่ทำความดีได้ง่าย ส่วนคนชั่วก็หมายถึง คนที่ทำความดีได้ยาก แต่ทำความชั่วได้ง่าย และเมื่อแต่ละเชื้อชาติ มีศาสนาของตน ถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งทุกศาสนา ก็ล้วนสอนให้ทำความดี เพราะว่าตายแล้ว จะได้ขึ้นสวรรค์ และห้ามมิให้ทำความชั่ว เพราะว่าตายแล้วจะต้องตกนรก แต่แม้ว่าทุกศาสนา จะสอนเหมือนกัน ดังนี้ก็จริง! แต่ว่าความดีและความชั่ว.. ที่แต่ละศาสนา ยึดถืออยู่นั้น ย่อมจะมีบางส่วน ที่เหมือนกัน และมีบางส่วน ที่ต่างกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะ.. ความเชื่อที่ต่างกัน ในแง่ของความดี และความชั่ว ที่แต่ละศาสนาหมายถึงนั้น.. ไม่เหมือนกัน ทั้งหมดเลยทีเดียว นั่นเอง! แต่ถ้าเป็นเรื่อง ผลของความดีแล้ว..ทุกศาสนา ย่อมจะเชื่อเหมือนกันหมด! คือเชื่อว่า..ถ้าหากใครได้ทำความดี ตามที่ศาสนาของตนๆ บอกว่าเป็นความดีแล้ว ก็จะชื่อว่า.. ผู้นั้นได้ทำบุญแล้ว! หรือคือทุกศาสนานั้น เชื่อในบุญ เหมือนกันหมดนั่นเอง

ความเห็นนี้ พ่อครูเห็นต่างไป พ่อครูอธิบายคำว่าบุญ คือ "การชำระจิตสันดาน ให้หมดจด" ทุกวันนี้ชาวพุทธเรา เข้าใจบุญ เหมือนกับความดี ของศาสนาอื่นๆ ซึ่งไม่เข้าถึงปรมัตถ์ อย่างบางแห่งเขาว่า ฆ่าคนที่ทำร้ายศาสนาได้บุญ ซึ่งเป็นความเห็น ที่ต่างจากพุทธ ของพุทธเรา ฆ่าสัตว์ใด ก็เป็นบาป อย่างพระพุทธเจ้าในอดีต ที่เคยยินดี ที่คนหาปลาได้มาก แม้บำเพ็ญมาเป็นพระพุทธเจ้า เศษแห่งวิบากที่ไปยินดี ที่คนฆ่าสัตว์นั้น ก็ทำให้ท่านปวดหัว ในชาติที่เป็นพระพุทธเจ้า ในองค์ ๕ ของปาณาติบาต มี(สัตว์นั้นมีชีวิต -รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต -เจตนาฆ่า -ลงมือพยายามฆ่า -ฆ่าสำเร็จ) ก็เป็นบาปแล้ว บางศาสนาเขาว่า การกินสัตว์ที่ถูกฆ่ามา ก็ไม่เป็นบาป อย่างนี้ไม่เหมือนศาสนาพุทธ ซึ่งความเข้าใจว่า บุญของทุกศาสนา เหมือนกันหมด ก็ไม่ถูกต้อง เพราะบุญของพุทธนั้น คือการทำความดีด้วยการชำระกิเลส ศาสนาอื่น มีแต่กดข่มเท่านั้น เขาแยกสมมุติสัจจะ กับปรมัตถสัจจะ ไม่ออกเลย...

เพราะเชื่อว่าเมื่อทำความดีแล้ว.. ย่อมได้รับรางวัลตอบแทน เป็นผลบุญนั่นเอง

พ่อครูว่าความเห็นนี้ ยังต้องการอามิสตอบแทนอยู่เลย

ซึ่งรางวัลที่ชื่อว่าบุญนี้ ทุกศาสนาก็ย่อมจะเน้นหนักไปที่ รางวัลตอบแทน ด้านของจิตใจ มากกว่าที่จะเป็นด้านวัตถุ ฉะนั้น ในทุกศาสนา คำว่าบุญนี้..จึงย่อมหมายถึง สิ่งเดียวกัน ซึ่งก็คือ ความสุขของจิตใจนั่นเอง!

เห็นได้ชัดว่า คำว่าบุญของพ่อครูนั้นต่างไป บุญของพ่อครู คือการลดละชำระกิเลส จนเกิดความสุข ที่เป็นการหมดสุข หมดทุกข์นั่นเอง สุขอย่างพุทธ คือสุขที่เป็นฌาน

แต่การที่มาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น ย่อมปฏิสนธิด้วย กุศลวิบากจิต 1ใน8ดวงทั้งสิ้น ฉะนั้น จึงย่อมทำความดีกันได้ทุกคน!

พ่อครูว่า ศาสนาพุทธ คือศาสนาที่ไม่ไปโต่งฝั่งไหน ให้หมดทั้งบาปและบุญ เมื่อล้างหมดอวิชชา จิตหมดสันดาน ที่เป็นอวิชชาหมดจด แต่ของคุณ 8705 นั้น จะไม่เข้าใจบาปบุญ ของพุทธ เมื่อไม่มีอกุศลจิตแล้ว จิตกุศลนั้น จะเกิดไม่ใช่แต่ ๘ ดวง มีมากกว่านั้น ศาสนาพุทธเราเป็นศาสนาเดียว ที่มีการชำระกิเลส ศาสนาอื่นนั้น ไม่ได้เข้าไปเรียนรู้อัตตา แล้วลดละได้อย่างแท้จริงเลย มีแต่กดข่มกิเลสได้ทั้งนั้น

ท่านให้ดับเหตุแห่งทุกข์ ท่านให้ดับตัณหา ๖ ซึ่งอายตนจิต ที่สัมผัสมหาภูตรูป ทางทวาร ๖ มีเวทนา ๖ อรูปฌานที่ ๑ เมื่อก้าวล่วงกามาวจร ได้แล้ว ความรู้สึกที่เกิดจาก มหาภูตรูปได้แล้ว ก็จะเป็นอากาศธาตุแล้ว พอพ้นสุขเวทนา ล่วงพ้นโสมนัสก่อนได้ รูปสัญญา ปฏิฆะสัญญา หรือนานัตสัญญา ก็ล่วงเขาถึง ปริยุฏฐานกิเลสแล้ว เพราะสั่งสมผลได้มาแล้วตลอดเวลา ทั้งอดีตปัจจุบัน ตลอดไปถึงอนาคต ภิกษุเข้าอากาสานัญจายตนฌาน ด้วยมนสิการว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการ ถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวงอยู่. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ทำมารให้มืด กำจัดมารไม่ให้มีทาง ไปแล้วสู่สถานเป็นที่ ไม่เห็นด้วยจักษุของมารผู้ลามก.

แต่แล้วเพราะเหตุใด? มนุษย์จึงยังแบ่งเป็น คนดีและคนชั่ว! ทั้งนี้ก็มิใช่อะไร.. แต่หากเป็นเพราะว่า ในกุศลวิบากจิต8ดวง ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น มีเพียง4ดวงเท่านั้น ที่เป็นอสังขาริก หรือเป็นกุศลจิตที่แรง เพราะสามารถ จะโน้มจิตของตน ปรุงปุญญาภิสังขาร เพื่อทำความดีได้เอง โดยไม่ต้องมีผู้ชักชวน ส่วนกุศลจิต อีก4ดวง ที่เหลือนั้น เป็นสสังขาริก หรือเป็นกุศลจิตที่อ่อน. .เพราะต้องมีผู้ชักชวน หรือจำต้องมีศาสนา เป็นเครื่องชี้นำ.. ถึงจักสามารถโน้มจิตของตน ปรุงปุญญาภิสังขาร เพื่อทำความดีได้ ฉะนั้น ในมนุษย์ที่ถือกำเนิด ด้วยสสังขาริกจิต 4ดวงหลังนี้ ถ้าหากว่า ไม่มีกัลยาณมิตร มาชักชวน หรืออยู่ห่างไกล จากศาสนาของตนแล้ว.. โอกาสที่จะโน้มจิตของตน เพื่อปรุงปุญญาภิสังขารนั้น จึงทำได้ยาก! และเมื่อนั้น จึงย่อมปรุงไป ตามสัญชาตญาณ เพื่อความอยู่รอด เท่านั้น ซึ่งในสัญชาตญาณนี้ ย่อมไม่คำนึงถึง ความดี-ความชั่ว หรือบาป-บุญ,คุณ-โทษ อะไรๆทั้งสิ้น และเหตุนี้ พุทธเจ้าจึงทรงเรียก การปรุงชนิดที่ไปตามชาตญาณนี้ว่า อปุญญาภิสังขาร! ฉะนั้น ถ้าผู้ใด หากปรุงอปุญญาภิสังขารนี้บ่อยๆ จิตใจของผู้นั้น ก็ย่อมจะเสื่อมถอย ตกต่ำลง กลายเป็นคนชั่ว และที่สุด ก็จะเหลือแค่ สัญชาตญาณ ที่เหมือนกับ สัตว์เดรัจฉาน ทั่วไปเท่านั้น! ก็แต่ว่า.. ในส่วนของกุศลจิต อสังขาริก4ดวงแรก ที่ทำให้เป็นคนดี หรือเป็นนักบุญนั้น ก็ยังแยกออกมา2ดวง ที่มีอารมณ์อุเบกขา เป็นพื้นฐานของจิต ฉะนั้น มนุษย์ที่ถือกำเนิดมา ด้วยกุศลจิต ที่มีฐานเป็นอุเบกขานี้ จึงไม่ยอมหยุดแค่ ปุญญาภิสังขาร แต่ย่อมจะพัฒนาปรุงเป็น อเนญชาภิสังขาร ที่ไม่หวั่นไหวได้ด้วย! ทั้งนี้เพราะ จิตมีฐานอารมณ์ เป็นอุเบกขาอยู่แล้วนั่นเอง

ของพ่อครูนั้น แยกแยะเคหสิตอุเบกขา ออกจาก เนกขัมมสิตอุเบกขาได้ ไม่สุขไม่ทุกข์ ของพุทธเกิดจาก การทำฌาน และจะทำอย่างรู้ด้วย จบฌาณ๔ ก็ได้อุเบกขา จะสัมผัสโลกธรรม อยู่ที่เราเคยเกิดกิเลส เราก็ไม่เกิดกิเลสแล้ว ไม่ใช่อย่างเฉยเด๋อ

อุเบกขาพุทธ มีคุณสมบัติ ๕ ประการคือ....
๑. ปริสุทธา (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ ๕) .
๒. ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรง แม้ผัสสะกระแทก)
๓. มุทุ (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .
๔. กัมมัญญา (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) . 
๕. ปภัสสรา (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

ในพระอภิธรรม ถ้าศึกษาก็น่าจะเอามาอธิบายได้ดี พ่อครูยังไม่มีเวลาศึกษา

อเนญชานั้นมีสองแบบ คนที่ศึกษาอเนญชาอย่างฤาษี ก็ทำอเนญชาได้ บางลัทธิ ก็แก้ผ้าเดินโทงๆ ไม่หวั่นไหว แต่พวกนี้ ยังหักล้างได้ ไม่อสังหิรัง ไม่ถาวร

จึงขอสรุปตอนนี้ก่อนว่า ในหมู่มนุษย์ที่ถือกำเนิดมา ด้วยกุศลจิตวิบาก8 ดวงนั้น.. และแม้ว่า จะยังไม่มีศาสนาใดๆ มาถือกำเนิดขึ้นก็ตาม แต่โดยพื้นเพเดิมของมนุษย์ ย่อมแบ่งได้เป็น3 คือ

1.ผู้ที่ถือเอาอเนญชาภิสังขาร เพราะด้วยกุศลจิต (อสังขาริก+อุเบกขา)2ดวง
2.ผู้ที่ถือเอาปุญญาภิสังขาร เพราะด้วยกุศลจิต (อสังขาริก+โสมนัส)2ดวง
3.ผู้ที่ถือเอาอปุญญาภิสังขาร ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ ก็เพราะเหตุที่กุศลจิต มีกำลังอ่อน (=สสังขาริก)ทั้ง4ดวง.. จึงไม่มีกำลังพอ ที่จะโน้มจิตของตน ให้ปรุงปุญญาภิสังขาร ด้วยตัวเองได้ ก็แต่ว่า..ในกุศลจิต (อสังขาริก+อุเบกขา)2ดวง.. ที่สามารถปรุง อเนญชาภิสังขารได้นั้น.. มีอยู่1ดวง ที่เป็นญาณสัมปยุต! คือหมายถึง ประกอบด้วยญาณ ซึ่งพุทธองค์จะทรงเรียก บุคคล ผู้ที่ถือกำเนิดมาด้วยกุศลจิต (อสังขาริก+อุเบกขา+ญาณ) ชนิดนี้ว่า ไตรเหตุกะ (ปฏิสนธิ) บุคคล! และก็บุคคลชนิดนี้แลเท่านั้น.. ถึงจักสามารถพัฒนาญาณ ที่มีอยู่เดิมของตน.. ให้เป็นปัญญา เห็นสัจธรรมได้! แต่ก็มีข้อแม้ว่า..บุคคลนั้น จักต้องได้ฟังธรรม ของพุทธองค์ก่อนด้วย เพราะมิฉะนั้นแล้ว แม้ว่าบุคคลนั้นจะคือ สารีบุตร ที่เปรียบเหมือน ดอกบัวที่บาน พ้นน้ำแล้วก็ตาม.. แต่หากว่า ไม่ได้รับแสงอาทิตย์ คือแสงธรรมแล้ว ดอกบัวบานนี้ ก็ย่อมจักแห้งเหี่ยว เฉาตายไปเหมือนกัน!!!

อย่างนี้หมายความว่า มีแต่พระพุทธเจ้า ที่บรรลุธรรม ซึ่งพ่อครูเข้าใจว่า มีระดับขั้น มากกว่านั้นคือ ระดับ ปัจจัตตัง- ปัจเจก -สยังอภิญญา -สยัมภู.... เมื่อพระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว แม้จะไม่มีพระพุทธเจ้าเกิด แต่ว่าคนที่มีสยังอภิญญา คือผู้ที่มีของตนเอง เมื่อฟังธรรมะพระพุทธเจ้า แม้เล็กน้อยก็จะรู้ได้ แยกแยะได้ว่าเอง ว่าอันไหน เป็นธรรมะพระพุทธเจ้า อย่างพ่อครู ได้อ่านพระไตรฯที่หลัง แต่รู้มาก่อนแล้ว มีสยังอภิญญา และประกาศ โลกนี้โลกหน้า ให้เข้าใจได้ ออกจากโลกโลกียะ มาสู่โลกุตรภูมิได้ อย่างที่ได้พิสูจน์กันมา อย่างของคุณก็ยึดว่า อาริยะแบบของคุณ ซึ่งไม่เหมือนกับของเรา

จึงสรุปที่พรรณามานี้ว่า ในหมู่มนุษย์ที่ถือกำเนิดมา ด้วยกุศลวิบากจิต 8 ดวงนี้.. จะมีเฉพาะผู้เดียว ที่ถือกำเนิดด้วย อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือไตรเหตุกะปฏิสนธิ (อสังขาริก+อุเบกขา+ญาณ) เท่านั้น.. ที่จักสามารถปฏิบัติ จนเกิดดวงตาเห็นธรรม คืออริยสัจจ์4ได้!

นี่คือคุณทายพ่อครูได้เป๊ะเลย พ่อครูมี ไตรเหตุกะปฏิสนธิ แต่คุณไม่เห็นเอง

ส่วนผู้อื่นๆนอกนั้น (ที่ถือกำเนิดด้วย กุศลวิบากจิต 7 ดวงที่เหลือ) คงต้องทำใจ! เพราะเสียใจด้วย ที่จะต้องบอกว่า.. ต้องรอไว้ชาติหน้า! จริงอยู่..แม้พุทธเจ้า จะตรัสแล้วว่า หากบุคคลปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ติดต่อกัน.. อย่างช้าที่สุด ไม่เกิน 7 ปี.. จักต้องได้บรรลุ ไม่อรหันต์ก็อนาคามี! แต่แน่ใจหรือว่า.. ถ้าไม่ใช่บุคคลประเภท ไตรเหตุกะนี้แล้ว.. จะสามารถปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 ได้อย่างถูกต้อง และติดต่อกันนาน 7 ปี ตามที่ทรงตรัสนี้ได้!

อย่างพ่อครูไม่ได้มีใครสอนด้วย รู้เอง บรรลุเอง ไม่ถึง ๗ ปีด้วย พ่อครูเป็นอย่าง ที่คุณพูดเป๊ะเลย... ทำไมพ่อครูทำได้ แล้วมาอธิบายได้ แจกแจง กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็แจกแจงสติปัฏฐานได้อย่างดี

สยัมภูคือไม่ต้องรับฟังธรรมะจากใครเลย แต่อย่างสยังอภิญญานั้น อาจต้องรับฟัง แม้ไม่มีพระพุทธเจ้า ถ้าได้ฟังสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็จะปรับปวาทะได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา จักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรัปวาท (ธรรมที่เป็นอื่นไปจาก คำสอนพระพุทธเจ้า) ที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อย โดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ซึ่งพ่อครูก็ได้ทำ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส คือปรับปวาทะได้ แสดงธรรมะที่เป็นปาฏิหาริย์

อภิสังขาร คือการสังขารอย่างยิ่ง อย่างวิเศษเลย ศาสนาอื่น มีแต่โลกียกุศล ไม่มีโลกุตรกุศล ชำระกิเลสไม่ได้ อสังขาริกะ คือคนที่ไม่ต้องสังขาร ส่วนสสังขาริกะ คือคนที่ต้องสังขารอยู่

ถึงตอนนี้ ต้องขอวกเข้า เพื่อที่จะสรุป ทีละประเด็นว่า 1.ปุญญาภิสังขารนี้ ย่อมมีอยู่แต่เดิมแล้ว ของมนุษยชาติ (แม้ว่าจะยังไม่มีศาสนาใดๆ กำเนิดขึ้นก็ตาม) เพราะว่ามนุษย์ย่อมถือกำเนิดขึ้น ด้วยกุศลวิบากจิต1ใน8ดวง และมีถึง4ดวง (อสังขาริก) ที่คิดจะทำดีอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่า เมื่อทำดีแล้ว ย่อมได้รับความสุขทางใจ ตอบแทน คือบุญนั่นเอง ฉะนั้น บุญนี้จึงมิได้หมายถึง การชำระล้างกิเลส อย่างที่พธร.เข้าใจ! เพียงแต่ระหว่างที่ กำลังมีความสุข ที่ชื่อว่าบุญนี้.. ย่อมจะไม่มีเพลิงทุกข์ คือกิเลสอันใดมาคั่น (ในระหว่างนั้น)ได้เลย ซึ่ง=ว่าเพียงแค่หยุดกิเลส เพลิงทุกข์ ลงไว้ชั่วคราวเท่านั้น! และแม้คำว่าบุญ ในทุกศาสนา..จะหมายถึง.. ความสุขทางใจ เหมือนกันหมด..ก็จริง! แต่ถ้าดูที่มาแล้ว จะเห็นชัดว่า มาจากที่เหมือนกันบ้าง ที่ต่างกันบ้าง! เพราะขึ้นอยู่กับว่า..แต่ละศาสนา (เว้นพุทธฯ) จะยึดถือด้วย ทิฏฐูปาทานของตนๆ ว่าการทำเช่นไร.. ถึงจะจัดว่า เป็นการทำความดี! เช่นอิสลาม ที่ยึดว่า การไม่กินเนื้อหมู เป็นความดี ฉะนั้น ถ้าไม่กินหมู..ก็จะ=ว่าได้บุญแล้ว ซึ่งนี่ก็คือ ปุญญาภิสังขารอย่าง1 ของอิสลามนั่นเอง แต่หากมีอิสลามบางคน แอบไปกินหมู ก็จะ=ว่า อิสลามคนนี้ ไม่คำนึงถึงกฏเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้นของอิสลาม จึงย่อมไม่ปรุง ปุญญาภิสังขาร แต่ถนัดจะปรุง ไปตามสัญชาตญาณ ของสัตว์มากกว่า.. ที่ไม่คำนึงถึง ความดี -ความชั่วใดๆ ทั้งสิ้น และเหตุนี้เอง.. จึงไม่อาจเรียกว่า ปุญญาภิสังขารได้ นอกจาก จะต้องเรียกว่า อปุญญาภิสังขารเท่านั้น!

คุณ 8705 ยังเข้าใจสังขารที่เป็นโลกุตระไม่ได้ คนไม่มีสภาวะ ก็เขาถึงไม่ได้ คนที่ทำแต่ดี แต่ไม่ล้างกิเลส เมื่อเข้าไม่ถึงโลกุตรธรรม อย่างศาสนาอื่น เขาเป็นนักบุญ อย่างแม่ชีเทเรซ่า เขาทำดีตลอดชีวิต แต่ไม่รู้จักปรมัตถ์ ฤาษีอินเดีย ไม่ทำบาปเยอะ แต่ไม่ล้างกิเลส เขาอยู่สบายอดได้ แต่ไม่ได้ล้างกิเลส ถ้าอดไม่ได้ อย่างในอินเดีย เขามีประชากร มากมายขนาดนั้น ถ้าไม่มีจิต ที่เป็นกุศลมากพอ ถ้าเขาไม่มีจิตดี พลมืองพันกว่าล้านคน ตีกันตาย เขาอยู่สงบกว่าจีนเยอะเลย

แต่ถึงอย่างไร แม้คำว่าบุญนี้จะหมายถึง ความสุขก็ตาม.. แต่ก็ยังเป็นสุข ที่กอร์ปอยู่ด้วย อุปาทานนั่นเอง ดังจะสังเกตุเห็นได้ว่า ที่มาของบุญ หรือความสุข ในแต่ละศาสนานั้น ย่อมจะมีที่มา ไม่ค่อยจะเหมือนกัน เพราะขึ้นอยู่ที่ ทิฏฐูปาทาน ในเรื่องความดี -ความชั่ว ของแต่ละศาสนา ที่ยึดต่างกันนั่นเอง! หรือแม้อุเบกขา ที่ไม่หวั่นไหวใน อเนญชาภิสังขาร.. ก็ยังมิใช่อุเบกขาที่ถาวร เพราะยังเป็น อุเบกขาที่กอร์ปด้วยเหตุ และปัจจัยอยู่ ฉะนั้น จึงยังต้องเกี่ยวเนื่อง ด้วยอุปาทานอยู่ หรือแปลความว่า.. ยังคงต้องหวั่นไหว ก็เพราะด้วยอุปาทานนั้นเอง

ฟังๆดูแล้วก็สงสาร พวกอภิธรรม ท่านพุทธทาสท่านว่า อภิธรรมเม็ดมะขาม

สรุปรวมความว่า ทั้งปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร ทั้ง3นี้ ล้วนเป็นปัจจัย ให้เกิดอุปาทานได้ในที่สุด! ต่อเมื่อลูกไก่ ได้กระเทาะเปลือกไข่ คืออวิชชา ออกมาได้แล้ว.. สังขาร3 จึงย่อมอันตรธานหมดสิ้น! เพราะย่อมรู้ดีว่า สัจธรรมที่แท้จริงนั้น มีแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆนอกนั้น เช่นเรื่อง ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร หรือเรื่องมีอัตตา ไม่มีอัตตา เป็นต้น.. ทั้งหมดที่ยกมานี้ ล้วนเป็นเรื่อง โหลยโท่ย เพราะกอร์ปด้วยอุปาทาน! จึงนับว่าไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร ที่จะนำไปดับทุกข์จริงได้! เปรียบเหมือน..ทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะถูกธนูยิง แทนที่พธร. จะรักษาแผลให้หาย แต่กลับไปนึกว่า จะต้องจับเจ้าอัตตา คนที่ยิงให้ได้ก่อน เพื่อจะได้ประหาร5 เพราะพธร.คิดว่า เมื่อนั้นแผลธนู จึงจะหายกระนั้นหรือ? จบ

พ่อครูว่า....การทำให้อวิชชาสิ้นไป มันคนละวิธีกับของพ่อครู แบบ8705 คือการเข้าใจแล้วได้เลย สว่างเลย ยกพรึ่บเลย ดับอวิชชาได้เลย ซึ่งเขาตีทิ้งบุญ ทิ้งบาปเลย มันหลงตัวเองว่า หมดบาปหมดบุญเลย เป็นอตัมยตาแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจอีก

การเปรียบการยิงศรนั้น คุณ 8705 ปฏิบัติไม่เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อย่างมรรคองค์ ๘ พ่อครูก็ได้ยก แสงอรุณ ๗ มาพูดคือ

๑.มิตรดีสหายดี คือสัตบุรุษผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือผู้บรรลุธรรมเอง
๒.ศีล ต้องรู้กำหนดศีลของตน ต้องทำศีลให้เกิดสมาธิปัญญา คืออย่างไร ต้องรู้
๓.ฉันทะสัมปทา คือยินดีในการถือศีลปฏิบัติศีล ตามฐานะ เอาพื้นฐานก่อน แล้วต้องเข้าใจว่า ต้องทวนกระแส ล้างกิเลส ต้องตั้งตนบนความลำบาก แม้ยากฝืน ก็ต้องมีฉันทะ
๔.อัตตสัมปทา ต้องเข้าถึงนิมิตแห่งอริยมรรค ถึงพร้อมด้วยความรู้ว่าของตน พอรู้อัตตา ตัวสักกายะ ก็คือพ้นสักกายะทิฏฐิ การเข้าถึงอัตตสัมปทา ถ้าคุณ 8705 ปฏิเสธ แสงอรุณข้อนี้ ก็ค้านแย้งคำสอน พระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าไม่เข้าใจอัตตะ ที่เป็นสักกายะ จะไม่เข้าใจ สัตตาโอปปาติกา ต้องพ้นสักกายะทิฏฐิ คือค้นพบตัวตนได้ เมื่อไม่พบอัตตา เราก็ทำอย่าง มิจฉาทิฏฐิต่อไป
๕.ทิฏฐิสัมปทา ต้องทำอย่างสัมมาทิฏฐิ
๖.อปมาทสัมปทา คือต้องพากเพียรประมาทไม่ได้ พวกเรายังประมาทอยู่เยอะ
๗.โยนิโสมนสิการ คือเข้าถึงการทำใจในใจ อย่างแยบคาย คือการทำใจเป็น คือการจัดการ สังกัปปะ ๗ เป็น นี่คือ มนสิกโรติเป็น เป็นหลักเป็นแดนเกิด

ในมูลสูตร ๑๐ คือมี 
๑. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
๒. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . .
๓. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . .
๔. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) .
๕. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)
๖. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
๗. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันยิ่ง
๘. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
๙. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา)
๑๐. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

ส.ฟ้าไท สรุปว่า พ่อครูได้แสดงธรรม ข่มขี่ปรับปวาทะ ซึ่งคนจะทำเช่นนี้ได้ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ คือ มีปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ พ่อครูต้องฟังเขา จึงเข้าใจว่า จะปรับปวาทะตรงไหน

ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาที่คนจะมานับถือ มากมาย ทำให้ชัดเจนว่า โลกุตระ คนจะฟังน้อย แต่ฟังนิ่งฟังแน่น ไม่ฟังหวือหวา แต่มาแล้วยั่งยืนเลย

ในฌาน ๓ ยังมีคำว่าสุขอยู่ แต่ฌานที่ ๔ สลายสุขไปเลย ถ้าเราแสวงหาสุขอยู่ ก็ไม่ใช่ทิศทางที่ถูกเลย......

จบ....